MAINTENANCE คืออะไร และมีความสำคัญแค่ไหน
Maintenance หรือ “การซ่อมบำรุง” กิจกรรมในการดูแลรักษาสภาพเครื่องจักร/เครื่องมือ/อุปกรณ์การทำงานต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดีและพร้อมสำหรับการใช้งานตลอดเวลา หากขาดการซ่อมบำรุงที่ดี ก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร เสี่ยงต่อเครื่องจักรหยุดทำงาน นำไปสู่ปัญหาการ Breakdown ซึ่งจะกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของอาคารโดยเฉพาะอาคาร Data Center ที่ใช้สำหรับรวบรวมข้อมูล รวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งค่าซ่อม ค่าเสียเวลา-เสียโอกาสและอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้น การซ่อมบำรุง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกอาคารควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ประเภทของงานซ่อมบำรุงมีอะไรบ้าง
งานซ่อมบำรุงนั้น คนส่วนมากเข้าใจว่ามันคือการที่ “เสียแล้วค่อยซ่อม” แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการซ่อมบำรุงจะมีหลากหลายระดับ ทั้งการซ่อมบำรุงเพื่อแก้ไขงานระบบอาคาร อุปกรณ์ และซ่อมบำรุงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการชำรุด โดยสามารถแยกออกได้ ดังนี้
1.การซ่อมบำรุงเชิงแก้ไข (Corrective Maintenance)
“การซ่อมบำรุงเชิงแก้ไข” หรือชื่อที่คนสมัยก่อนนิยมเรียกว่า “การซ่อมบำรุงแบบ Break down (Breakdown Maintenance)” ถือเป็นกระบวนการซ่อมบำรุงที่พื้นฐานและมีมาอย่างยาวนานที่สุด ซึ่งกระบวนการซ่อมบำรุงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเครื่องจักร/ชิ้นส่วนอุปกรณ์ใช้งานเกิดการชำรุดเสียหาย จนไม่สามารถนำมาใช้งานได้แล้ว กล่าวคือ “เมื่อพังจึงซ่อม”
แม้อาจจะฟังดูขาดหลักการในการดูแลรักษาที่ดี แต่การซ่อมบำรุงเชิงแก้ไขนี้ ก็ยังคงถูกใช้อยู่ในในปัจจุบัน โดยมักจะใช้กับอุปกรณ์หรืองานระบบต่าง ๆ ภายในอาคาร ที่ไม่ค่อยมีนัยสำคัญในการทำงาน เช่น โคมไฟแสงสว่าง, ก๊อกน้ำภายในห้องน้ำ, พัดลมระบายอากาศ เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์ข้างต้นที่ยกตัวอย่าง หากชำรุดจะกระทบต่อประสิทธิภาพในระบบอาคาร/ไม่มีผลกระทบใด ๆ อีกทั้งที่มีราคาถูก หาซื้อได้ทั่วไป จึงไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำเป็นแผนงานซ่อมบำรุง แต่หากนำวิธีการนี้มาใช้กับระบบขนาดใหญ่ เช่น ระบบเครื่องกล ระบบไฟฟ้าภายในอาคาร หรือแม้กระทั้งระบบดับเพลิง แน่นอนว่าจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีแน่นอน
2. การซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance)
“การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน” หรือที่ถูกเรียกสั้น ๆว่า การ PM เป็นกิจกรรมการเข้าซ่อมแซม/เปลี่ยนชิ้นส่วนของงานระบบภายในอาคารตามกำหนดการก่อนสิ้นสภาพการใช้งาน เพื่อป้องกันระบบต่าง ๆ ภายในอาคารไม่ให้เกิดการชำรุดและนำไปสู่การเกิด Breakdown ขึ้น ซึ่งการทำการบำรุงรักษาเชิงป้องกันนั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น การตรวจด้วยสายตา, การขันแน่น, /ทำความสะอาดชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ตั้งแต่รายวัน/รายสัปดาห์ ไปจนถึงการเปลี่ยนอะไหล่ และการ Overhaul ประจำปี
การบำรุงรักษาเชิงป้องกันมีด้วยกันกี่ประเภท ?
เมื่อพูดถึงการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน จะสามารถแยกย่อยได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้
2.1.การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา (Time-based Preventive Maintenance)
การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา (Time-based Preventive Maintenance) เป็นกระบวนการ PM ที่เราสามารถพบเห็นได้เยอะที่สุด โดยการทำการบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลานี้ สามารถหาข้อมูลอ้างอิงได้จากคู่มือของเครื่องจักร เช่น การล้างทำความสะอาดชุดกรองแอร์ต้องทำทุก1สัปดาห์, ควรมีการล้างแอร์อาคารทุก ๆ 6 เดือน เพื่อให้ประสิทธิภาพในการทำงานของแอร์ทำงานได้เป็นอย่างดี เป็นต้น
2.2.การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน (Usage-based Preventive Maintenance)
การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน (Usage-based Preventive Maintenance) กล่าวคือ เนื่องด้วยอุปกรณ์บางชนิดมีการใช้งานที่หนักเบาแตกต่างกัน ในบางครั้งเครื่องจักร/อุปกรณ์ที่มีใช้งานหนัก อาจต้องมีการซ่อมบำรุงก่อนแผนงานบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา หรือซ่อมก่อนเครื่องจักร/อุปกรณ์ที่มีใช้งานน้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ทุกระยะทาง 7,500 ก.ม. หากเจ้าของรถยนต์ใช้รถในการเดินทางบ่อยก็จะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเร็วกว่าอีกคนที่ไม่ค่อยได้ใช้รถ เป็นต้น ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นอีกด้วย
3.การบำรุงรักษาตามสภาพ (Condition Based Maintenance)
“การบำรุงรักษาตามสภาพ” เป็นขั้นพัฒนาของการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน แตกต่างจากวิธีการเดิมที่เน้นการกำหนดอายุการใช้งานของเครื่องจักร/อุปกรณ์แล้วเข้าเปลี่ยนตามระยะเวลา การบำรุงรักษาตามสภาพจะเน้นการซ่อมแซมเครื่องจักร/อุปกรณ์ตามลักษณะสภาพที่ชิ้นส่วนนั้นแสดงออกมา กล่าวคือ เมื่อเริ่มใช้งานครั้งแรกเครื่องจักรจะมีความสมบูรณ์พร้อม แต่เมื่อใช้งานไประยะเวลาหนึ่ง ชิ้นส่วนอุปกรณ์จะเริ่มเกิดการสึก/ชำรุด และจะเริ่มแสดงสัญญาณบางอย่างออกมา เช่น ค่าการสั่นสะเทือนผิดปกติ, อุณหภูมิสูงขึ้น, มีเสียงดังแปลกๆ, มีกลิ่นไหม้, มีคราบการรั่วซึม เป็นต้น โดยหากผู้ใช้งานหรือช่างสามารถตรวจพบสัญญาณที่แสดงออกมาเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยในการวางแผนซ่อมบำรุงและทำการเข้าแก้ไขซ่อมแซมก่อนที่เครื่องจักรอุปกรณ์จะชำรุดเสียหายได้ ซึ่งจะเป็นการดึงประสิทธิภาพของชิ้นส่วน/อุปกรณ์แต่ละชิ้นจนถึงขีดสุดก่อนทำการเปลี่ยนใหม่ ทำให้เกิดความคุ้มทุนสูงที่สุด
เครื่อง Thermal Scan เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิซึ่งถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่นการดับเพลิง การตรวจสอบอาคาร ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและฉนวน เพื่อใช้ในการทำ Condition Based Maintenance โดยในรูปจะเป็นการตรวจวัดค่าความร้อน Globe Valve ของท่อสตรีม โดยหากชิ้นส่วน/อุปกรณ์เกิดค่าความร้อนสูงผิดปกติ อาจเป็นไปได้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวเริ่มเกิดการชำรุดแล้ว ทำให้ทีมช่างสามารถคาดการณ์และวางแผนงานซ่อมบำรุงได้ก่อนเกิด Breakdown อีกทั้งปัจจุบันนี้ ก็มีเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ มาช่วยในการตรวจจับสัญญาณผิดปกติมากขึ้น เช่น Sensor แบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจวัดค่าที่มีความละเอียดอ่อนซึ่งมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ ทำให้การบำรุงรักษาตามสภาพถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งโดยทั่วไป การบำรุงรักษาในระดับนี้จะมีชื่อเรียกว่า “การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance)”
4. การบำรุงรักษาเชิงรุก (Proactive Maintenance)
“การบำรุงรักษาเชิงรุก” ถือเป็นขั้นสูงของการซ่อมบำรุงรักษาของหน่วยงานซ่อมบำรุง โดยการบำรุงรักษาเชิงรุกจะเน้นการวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาการชำรุดนั้น เพื่อปรับปรุงแผนการดำเนินงานซ่อมบำรุง และสรรหาวิธี/แนวทางในการบำรุงรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาการชำรุดเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก ซึ่งสิ่งนี้ถูกเรียกว่า “การป้องกันการบำรุงรักษา (Maintenance Prevention)” เช่น การใช้อุปกรณ์กันน้ำในไลน์การผลิตที่ต้องมีการล้างทำความสะอาดบ่อยๆ, การใช้ท่อน้ำสเตนเลสแทนการใช้ท่อเหล็กเพื่อป้องกันการผุกร่อน/การเกิดสนิม เป็นต้น
Total Productive Maintenance คืออะไร
แม้การซ่อมบำรุงจะถูกมองว่า เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานซ่อมบำรุง แต่หากต้องการบริษัท ต้องการกระบวนการทำงานที่มีความคุ้มค่าและให้ผลกำไรสูงสุด ระบบภายในอาคารที่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจึงถือเป็นกุญแจสำคัญ ทำให้ในปัจจุบัน เกิดเทคนิคที่เรียกว่า “Total Productive Maintenance หรือ TPM” ที่ไม่เพียงแค่มุ่งเน้นให้มีการซ่อมบำรุงที่มีคุณภาพสูง แต่ยังมุ่งเน้นกระบวนการต่าง ๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งกับการซ่อมและการใช้งานเครื่องจักร/อุปกรณ์ ไปจนถึงการประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่สูงที่สุดและมีค่าใช้จ่ายต้นทุนต่ำที่สุด โดยเราจะมาพูดถึงหลักการนี้ในภายหลัง ในการทำ TPM นั้นอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายซ่อมบำรุง หน่วยงานสนับสนุนอื่น ๆ โดยมุ่งหวังให้เกิดการซ่อมบำรุงที่มีประสิทธิภาพสูง ทันท่วงที มีการเสียเวลาและต้นทุนต่ำสุด) จบไปแล้วสำหรับบทความ งานซ่อมบำรุงคืออะไร ทำไมจึงสำคัญ ? จะเห็นได้ว่า การซ่อมบำรุงไม่ใช่สิ่งที่จะถูกมองข้ามไปได้ หากบริษัทต้องการการทำงานที่ต่อเนื่องและมีคุณภาพ ดังนั้นหากอาคารของท่านยังคงใช้การซ่อมบำรุงแบบ Corrective Maintenance อยู่ ก็ถึงเวลาปรับเปลี่ยนได้แล้ว เพราะนอกจากจะไม่ต้องปวดหัวกับการปัญหา Breakdown เครื่องจักรที่จะเกิดขึ้นแล้ว ยังทำให้หน่วยงานจัดสรรตารางเวลาในการทำงานได้ง่าย ไปจนถึงใช้ในการวางแผนงบประมาณและช่วยปูรากฐานสำหรับการยกระดับขึ้นไปสู่การซ่อมบำรุงในระดับที่สูงขึ้นไป “การบำรุงรักษาเชิงรุก” หรือ “TPM” อย่างได้อีกด้วย
ที่มา https://misumitechnical.com/
Maintenance บริษัท ธาร์ณัส จำกัด มีบริการ Preventive Maintenance, Predictive Maintenance และ Proactive Maintenance
โดยทีมงานคุณภาพมากประสบการณ์ เป็นที่ไว้วางใจของลูกค้า มีบริการและรับประกันหลังการบริการ พร้อมให้คำปรึกษาหากท่านมีปัญหาในการใช้งาน หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ติดต่อ 063-905-8530 คุณตี๋ วิศวกรโซลูชั่น [email protected]